196 จำนวนผู้เข้าชม |
Alopecia Areata หรือโรคผมร่วงเป็นหย่อม เป็นโรคที่เชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ไปทำลายต่อมรากผมจนทำให้ผมร่วง โดยอาการอาจเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย เช่น คิ้ว ขนตา หนวดเครา หรือขนรักแร้ เป็นต้น โรคนี้เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่มักเกิดกับผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี ซึ่งปริมาณผมหรือขนที่ร่วงและที่งอกขึ้นมาใหม่ของผู้ป่วยแต่ละรายนั้นจะแตกต่างกันออกไป และในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ แต่ก็มีการรักษาที่ช่วยให้ผมงอกขึ้นมาใหม่ได้เร็วและป้องกันการหลุดร่วงในอนาคต
ผู้ป่วยโรค Alopecia Areata จะมีอาการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ โดยทั่วไปบริเวณที่ผมร่วงจะมีลักษณะเป็นวงกลมเท่าเหรียญขนาดใหญ่ อาจมีอาการคันหรือมีผื่นแดงขึ้นบริเวณที่ผมร่วงด้วยแต่ก็พบได้น้อย หรืออาจมีขนร่วงตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ขนตา คิ้ว หนวดเครา หรือขนตามแขนขา เป็นต้น
ทั้งนี้ ขนและผมที่ร่วงนั้นจะงอกขึ้นใหม่ได้เองภายใน 3-4 เดือน แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่งอกกลับขึ้นมาอีกเลย ทั้งนี้ อาการผมร่วงเป็นหย่อมอาจหายไปและกลับมาเป็นได้อีก ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและไม่สามารถคาดเดาการเกิดได้ นอกจากผมร่วงเป็นหย่อมแล้ว ผู้ป่วยอาจมีอาการผมร่วงทั้งศีรษะ (Alopecia Totalis) หรือเส้นขนตามร่างกายหลุดร่วงไปทั้งหมดด้วย (Alopecia Universalis)
นอกจากนี้ โรค Alopecia Areata อาจทำให้เกิดอาการที่เล็บได้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย ซึ่งเล็บจะมีความผิดปกติ เช่น เล็บขรุขระ เล็บเปราะ หรือมีจุดแดงบริเวณโคนเล็บ เป็นต้น
โรค Alopecia Areata อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยความผิดปกตินี้อาจสร้างความเสียหายต่อรูขุมขน จนทำให้รูขุมขนมีขนาดเล็กลงและไม่สามารถผลิตเส้นผมขึ้นมาได้ จึงเกิดเป็นอาการผมร่วง ซึ่งโรคนี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศและทุกช่วงวัย
แม้สาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานผิดพลาดนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยบางอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้ เช่น
ความผิดปกติทางพันธุกรรม อย่างกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม
มีประวัติคนในครอบครัวเคยป่วยเป็นโรคนี้ หรือเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเบาหวานประเภทที่ 1 โรคเกี่ยวกับไทรอยด์ โรคด่างขาว โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือภาวะลำไส้เป็นแผล (Ulcerative Colitis) เป็นต้น
การเจ็บป่วยอื่น ๆ อย่างการติดเชื้อไวรัส
การได้รับยาบางชนิด
ความเครียด
แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการของโรคนี้ได้โดยตรวจดูหนังศีรษะตรงที่ผมร่วง และตัวอย่างเส้นผมในบริเวณที่เกิดอาการ รวมทั้งอาจวินิจฉัยเพิ่มเติมได้ด้วยวิธีการ ดังนี้
ตรวจชิ้นเนื้อหนังศีรษะ โดยนำตัวอย่างผิวหนังบริเวณที่เกิดอาการไปตรวจด้วยกล้องจุลทัศน์ เพื่อหาสาเหตุของอาการผมร่วง
ตรวจเลือด แพทย์อาจตรวจเลือดเพื่อดูความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ โดยวิธีนี้สามารถบอกได้ถึงปริมาณสารต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเลือด เช่น ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ ปริมาณโปรตีนที่บ่งชี้การอักเสบ และปริมาณธาตุเหล็ก เป็นต้น
ปัจจุบันในทางการแพทย์ยังไม่สามารถรักษาโรค Alopecia Areata ได้ แต่เบื้องต้นแพทย์อาจแนะนำให้รอผมงอกขึ้นมาใหม่เอง เพราะโรคนี้ไม่มีอันตรายต่อร่างกายของผู้ป่วย แต่อาจมีผลกระทบด้านความมั่นใจของผู้ป่วย เนื่องจากต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่ผมจะงอกขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ตาม มีบางวิธีที่ช่วยให้ผมที่ร่วงไปงอกกลับขึ้นมาใหม่เร็วกว่าวิธีตามธรรมชาติ ดังนี้
สเตียรอยด์จะยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างความเสียหายแก่รูขุมขน และทำให้เส้นผมสามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง ซึ่งการใช้สเตียรอยด์มีหลายรูปแบบ ทั้งแบบฉีดซึ่งได้ผลดีในกรณีที่ผมร่วงเป็นบริเวณไม่กว้างนัก และแบบทาซึ่งเห็นผลช้า และอาจต้องใช้เวลา 3-6 เดือน โดยการใช้ยาชนิดนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่เห็นผลได้ชัดเจนที่สุด แต่ต้องอาศัยความมีวินัยในตัวเอง ความสม่ำเสมอ ในการเลือกเซรั่มบำรุงผมควรเลือกเซรั่มที่ไม่มีสารเคมีที่อันตราย และได้รับการรับรองจาก อย. เพื่อความปลอดภัยและไร้ผลข้างเคียง
การทำภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นการให้สารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ที่ผิวหนังลงบนบริเวณที่ผมร่วง เพื่อทำให้เกิดการอักเสบที่จะนำไปสู่การกระตุ้นให้ผมกลับมางอกขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง แต่วิธีการนี้มีผลข้างเคียงที่อาจทำให้เกิดโรคผิวหนังชนิดอื่นตามมาได้
ผู้ป่วยอาจรับประทานอาหารเสริมจำพวกวิตามินหรือสมุนไพร รักษาโดยใช้น้ำมันหอมระเหยจากพืช หรือรับการฝังเข็ม ซึ่งอาจช่วยให้ผมงอกขึ้นมาใหม่ได้
โรค Alopecia Areata อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ ดังนี้
อาการทางร่างกาย ผู้ป่วยอาจเสี่ยงเป็นโรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเกี่ยวกับไทรอยด์ โรคด่างขาว หรือโรคโลหิตจาง เป็นต้น
อาการทางจิตใจ ผู้ป่วยอาจเกิดความเครียด รู้สึกแปลกแยก หรืออาจเป็นโรคซึมเศร้าได้
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดป้องกันโรค Alopecia Areata ได้ แต่ก็อาจหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคนี้ เช่น
ผ่อนคลายความเครียด เพราะความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคได้
เลือกรับประทานอาหารที่มีสารบำรุงเส้นผม เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และธาตุสังกะสี เป็นต้น
ใช้ผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผมอย่างสม่ำเสมอ เลือกใช้แชมพูที่ถนอมหนังศีรษะ และไม่ผสมสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
สวมแว่นกันแดดในกรณีที่โรคนี้ส่งผลให้ขนตาร่วง เพราะอาจมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตาได้เนื่องจากไม่มีขนตาคอยป้องกัน